ในช่วงฤดูฝนที่ฟ้าคะนองหนักขึ้นทุกปี เสาโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ตามดาดฟ้า ตึกสูง หรือพื้นที่โล่ง กลายเป็นจุดเสี่ยงอันดับต้น ๆ ที่ฟ้าผ่าลงได้ง่าย และหากระบบสายดินไม่ทำงานตามมาตรฐาน ความเสียหายอาจลุกลามจากอุปกรณ์พัง ไปจนถึงไฟไหม้หรืออันตรายถึงชีวิต

ระบบสายดินคืออะไร?

ระบบสายดิน (Grounding System) คือระบบที่ช่วยระบายกระแสไฟฟ้าที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ไฟฟ้าสถิตหรือพลังงานจากฟ้าผ่า ให้วิ่งลงสู่พื้นดินอย่างปลอดภัย โดยไม่ย้อนกลับเข้าระบบหรือกระจายสู่บริเวณรอบข้าง

สำหรับเสาโทรศัพท์ซึ่งเป็นโครงสร้างโลหะสูง ระบบสายดินจึงเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า

ทำไมเสาโทรศัพท์ต้องมีระบบสายดินที่ได้มาตรฐาน?

  • เพราะเสาโทรศัพท์มักตั้งในที่สูง โดดเด่น และเป็นจุดนำฟ้าที่ดี

  • หากไม่มีสายดินหรือมีแต่ไม่ได้ผล กระแสจากฟ้าผ่าจะกระจายเข้าสู่อุปกรณ์ หรือคนที่อยู่ใกล้

  • ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ไฟดูด, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เสียหาย, ระบบล่ม หรือไฟไหม้

องค์ประกอบของระบบสายดินที่ดี

1. สายดินคุณภาพสูง เช่น สายไฟทองแดงหรือเหล็กชุบสังกะสีที่นำกระแสลงดิน
สายดิน
2. แท่งสายดิน (Ground Rod) ปักลงดินลึกเพื่อกระจายกระแส
3. ระบบเชื่อมต่อ (Bonding) ที่ทำให้ทุกส่วนของระบบไฟฟ้าและเสาเชื่อมโยงถึงกัน
4. ค่าความต้านทานไฟฟ้าต่ำ (Low Earth Resistance) ควรต่ำกว่า 5 โอห์ม เพื่อให้ไฟไหลลงดินได้รวดเร็ว

อันตรายหากระบบสายดินไม่ดี

  1. อันตรายต่อชีวิต – หากฟ้าผ่าเสาโทรศัพท์แต่กระแสไฟไม่สามารถไหลลงดินได้อย่างรวดเร็ว กระแสไฟฟ้าอาจย้อนกลับเข้าสู่ระบบ หรือแพร่กระจายไปยังบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดไฟดูดหรือไฟช็อตแก่ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของพื้นที่ ช่างเทคนิค หรือแม้แต่ผู้สัญจรผ่านไปมา

  2. ความเสียหายต่ออุปกรณ์ – อุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งกับเสา เช่น เราเตอร์ อุปกรณ์รับส่งสัญญาณ หรือกล้องวงจรปิด อาจเสียหายจากแรงดันไฟฟ้ากระชากหรือไฟฟ้าเกิน ซึ่งอาจกระทบต่อระบบสื่อสารของทั้งพื้นที่หรืออาคารโดยรอบ

  3. เกิดไฟไหม้ – หากระบบสายดินไม่สามารถระบายพลังงานจากฟ้าผ่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร้อนที่สะสมอาจก่อให้เกิดประกายไฟ นำไปสู่เพลิงไหม้ที่ลุกลามไปยังทรัพย์สินของผู้อื่นในบริเวณใกล้เคียง เช่น บ้านเรือน ร้านค้า หรืออาคารข้างเคียง

  4. ผลกระทบต่อระบบสื่อสาร – เมื่ออุปกรณ์ได้รับความเสียหายจากฟ้าผ่า อาจทำให้สัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตขาดหาย ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถใช้งานการสื่อสารได้ในช่วงเวลาที่จำเป็น

  5. ความเสียหายต่อบุคคลที่สาม – ความล้มเหลวของระบบสายดินไม่ใช่แค่สร้างความเสียหายให้เจ้าของพื้นที่หรือบริษัทผู้ติดตั้งเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบไปถึง “บุคคลที่สาม” ทั้งในแง่ความปลอดภัย ทรัพย์สิน หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมายหรือการเรียกร้องค่าเสียหายภายหลังได้

แนวทางป้องกัน

สำหรับช่างเทคนิค / ผู้ดูแลระบบ
  • ตรวจวัดค่าความต้านทานของระบบสายดิน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือก่อนฤดูฝน โดยต้องให้ค่าความต้านทานต่ำกว่า 5 โอห์ม
  • ตรวจสอบจุดเชื่อมต่อสายดิน (Bonding Points) ให้แน่นหนา ไม่มีการหลุดหรือขึ้นสนิม

  • ใช้วัสดุที่ได้มาตรฐาน เช่น แท่งกราวด์ชนิดทองแดงเคลือบ สายทองแดงบริสุทธิ์ และข้อต่อที่ได้รับการรับรอง

  • ติดตั้งและดูแลอุปกรณ์ป้องกันฟ้าผ่า (Lightning Arrester) บนยอดเสา พร้อมตรวจสอบการทำงานอย่างสม่ำเสมอ

  • เชื่อมโยงระบบสายดินของเสา ให้ต่อเนื่องกับระบบสายดินของอาคารหรือพื้นที่โดยรอบ เพื่อให้การระบายพลังงานมีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับเจ้าของพื้นที่
  • กำหนดเงื่อนไขในสัญญาเช่าอย่างชัดเจน ให้บริษัทผู้ติดตั้งเสารับผิดชอบการดูแลระบบไฟฟ้าและระบบสายดินตลอดอายุสัญญา

  • ระบุความถี่ในการบำรุงรักษาและมาตรฐานความปลอดภัย ไว้ในสัญญา เช่น การตรวจวัดประจำปี การเปลี่ยนวัสดุเมื่อเสื่อมสภาพ

  • กำหนดให้ครอบคลุมเรื่องความรับผิดชอบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และบุคคลที่สามหากเกิดความเสียหาย จากการละเลยดูแลหรือความบกพร่องของระบบ

  • เก็บรักษาสำเนาสัญญาและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้ง เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดข้อพิพาทหรือความเสียหายในอนาคต

เจ้าของพื้นที่ไม่มีหน้าที่ตรวจสอบระบบสายดินด้วยตนเอง แต่ควรใช้ “สัญญา” เป็นเครื่องมือในการกำกับดูแล และปกป้องสิทธิของตน

สัญญาที่ดีควรครอบคลุมทั้งความปลอดภัย ระบบสายดิน และความรับผิดชอบหากเกิดความเสียหาย
หากคุณไม่แน่ใจว่าสัญญาของคุณรัดกุมพอหรือไม่ หรือต้องการให้เราช่วยประเมินและปรับปรุง
👉 คลิกที่นี่เพื่อขอคำปรึกษาฟรี